เอสซีจี เปิด 3 เกมรุกสู่ “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน”
ตอบโจทย์ความต้องการตลาดโลกเร่งขยายธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน
ขับเคลื่อน HVA พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการ
กรุงเทพฯ – 2 มีนาคม 2564 : ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี แถลงทิศทางธุรกิจปี 2564 มุ่งสู่ “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” (Chemical Business for Sustainability) ตามแนวทาง SDGs (Sustainable Development Goals) และ ESG (Environmental, Social, Governance) ตั้งเป้าเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ Green Polymer 2 แสนตัน ภายในปี 2568 และขยายการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value-Added – HVA) เป็น 50% ภายในปี 2573 พร้อมใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เร่งเดินหน้า 3 กลยุทธ์เชิงรุก ได้แก่ 1. เร่งการขยายเข้าสู่ธุรกิจเศรษฐกิจหมุนเวียน (Accelerate Circularity) 2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (Accelerate Innovation) และ 3. เร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ (Accelerate Digital Technology) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในตลาดโลก และสร้างการเติบโตระยะยาว พร้อมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
นายธนวงษ์ อารีรัชชกุล กรรมการผู้จัดใหญ่ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี แถลงทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2564 ว่า “ในปีที่ผ่านมา ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี มีการปรับตัวในหลาย ๆ ด้าน เพื่อรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งธุรกิจสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย โดยโครงการสำคัญ ๆ อย่างเช่น โครงการขยายกำลังการผลิตของโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ หรือ MOCD มีความคืบหน้าตามแผนที่วางไว้ และพร้อมดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ภายในต้นไตรมาสที่ 2 นี้ โดยจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มอีก 350,000 ตันต่อปี”
“สำหรับปี 2564 นี้ ธุรกิจปิโตรเคมี มีความท้าทายใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในธุรกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยมีความท้าทาย 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy for Plastics) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการพลาสติกใช้แล้วที่เจ้าของแบรนด์สินค้าและผู้บริโภคให้ความสำคัญ เกิดเป็นพฤติกรรม Sustainable Consumption รวมถึงมีกฎระเบียบและเป้าหมายของประเทศต่าง ๆ อีกหนึ่งความท้าทาย คือ การเปลี่ยนแปลงของตลาดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 (Shifting demand) ทำให้เกิดปัจจัยบวกต่อตลาดบางประเภท เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับการขนส่ง พลาสติกสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าในช่วงฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ตลาดที่อุปสงค์เคยลดลงไป เช่น กลุ่มสินค้าคงทน ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ หรือ เครื่องใช้ไฟฟ้า น่าจะกลับมาดีขึ้น ในขณะที่สินค้ากลุ่ม Medical and Healthcare จะเป็นกลุ่มที่มีการใช้งานสูงขึ้นในระยะยาว ในขณะที่การแข่งขันในภูมิภาคสูงขึ้นและมีการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการ Supply Chain (Competition & Supply Chain Realignment) ซึ่งบางส่วนเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลง Trade Flow จาก Trade War”
“เพื่อรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ ทางธุรกิจ รวมทั้งตอบโจทย์ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ SDGs (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ และแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี จึงเดินหน้าสู่การเป็น “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” (Chemical Business for Sustainability) โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือ เพิ่มการขายผลิตภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ Green Polymer 2 แสนตัน ภายในปี 2568 ขยายการขายสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เป็น 50% ภายในปี 2573 และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน ขับเคลื่อนด้วย 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1. เร่งการขยายเข้าสู่ธุรกิจ Circular Economy (Accelerate Circularity) เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลดภาวะโลกร้อน พร้อมตอบโจทย์ลูกค้า เจ้าของแบรนด์สินค้า และผู้บริโภคที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีโรดแมปขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน 4 ด้าน ครอบคลุมตลอดทั้ง Supply Chain ได้แก่
1) การพัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติกและโซลูชัน โดยออกแบบให้รีไซเคิลได้ง่าย (Design for Recyclability) และคงคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ไว้อย่างครบถ้วน เป็นขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบเพื่อให้พลาสติกสามารถรีไซเคิลได้ 100% เช่น การพัฒนาโซลูชันสำหรับบรรจุภัณฑ์แบบ Mono-material ออกแบบให้ชั้นแผ่นฟิล์มในการผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกเป็นวัสดุชนิดเดียวกันทั้งหมด จึงนำกลับมารีไซเคิลได้ง่าย โดยเบื้องต้น เอสซีจีได้คิดค้นโซลูชันสำหรับบรรจุภัณฑ์ที่ป้องกันการซึมผ่านระดับปานกลาง หรือ Medium Barrier Packaging สามารถใช้ทดแทนวัสดุไนลอนชั้นกลางในบรรจุภัณฑ์จำพวก ถุงน้ำยาล้างจาน สบู่เหลว ถุงข้าวสาร หรือบรรจุภัณฑ์แบบสุญญากาศ เช่น ถุงไส้กรอก ซึ่งโซลูชันนี้ช่วยให้บรรจุภัณฑ์พลาสติกรีไซเคิลได้ 100% ส่งผลให้การจัดการหลังการใช้งานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ร่วมกับเจ้าของแบรนด์สินค้าหลายราย
2) การนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ PCR (Post-Consumer Recycled Resin) โดยขณะนี้ เอสซีจี ได้วิจัยพัฒนาสูตรการผลิต เม็ดพลาสติกรีไซเคิล PCR ชนิด HDPE ภายใต้แบรนด์ SCG Green PolymerTM สำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าที่ใช้ภายในบ้าน ช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาต้นแบบ PCR Booster สารปรับแต่งเพื่อยกระดับคุณภาพบรรจุภัณฑ์ให้สามารถมีส่วนผสมของเม็ดพลาสติกชนิด PCR เพิ่มขึ้นได้ โดยยังคงประสิทธิภาพของบรรจุภัณฑ์ไว้เช่นเดิม
3) การนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับธุรกิจปิโตรเคมี (Chemical Recycling) โดยพัฒนาเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่ทันสมัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเปลี่ยนพลาสติกใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบตั้งต้น หรือ Recycled Feedstock สำหรับโรงงานปิโตรเคมีเพื่อนำกลับมาผลิตเป็นเม็ดพลาสติกใหม่ รวมถึงสามารถผลิตเป็น food grade ได้ด้วย โดยได้ก่อสร้างโรงงานทดสอบการผลิต หรือ Demonstration Plant แห่งแรกในประเทศไทย ในพื้นที่บริเวณโรงงาน จังหวัดระยอง ด้วยกำลังการผลิต Recycled Feedstock ประมาณ 4,000 ตันต่อปี และพร้อมที่จะขยายกำลังผลิตในอนาคต เมื่อเทียบกับการนำขยะไปเผาหรือฝังกลบ กระบวนการรีไซเคิลในรูปแบบนี้ มี Carbon Footprint น้อยกว่ามาก
4) การพัฒนานวัตกรรมพลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจาความร่วมมือกับ partners
2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจ HVA (Accelerate Innovation) ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้พัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA มาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้น 4 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สุขภาพ ยานยนต์ และการก่อสร้าง ทั้งนี้ได้วิจัยพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ทั้งในรูปแบบ In-house และ Open Innovation โดยร่วมมือกับเครือข่ายด้านวิจัยพัฒนา สถาบันการศึกษา และสถาบันวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลก ทั้งในประเทศไทย เอเชียและยุโรป ซึ่งในปีนี้ ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้ตั้งงบประมาณด้าน R&D เป็นเงินกว่า 1,600 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังได้ก่อตั้งศูนย์นวัตกรรมและพัฒนาต้นแบบสินค้า หรือ “i2P Center” (Ideas to Products) แห่งแรกและแห่งเดียวในภูมิภาคอาเซียนตั้งแต่ปี 2562 เพื่อเป็นโซลูชันด้าน Material Selection, Design และ Process นอกจากนี้ยังมีศูนย์พัฒนาต้นแบบสินค้า จึงช่วยจุดประกายความคิดให้กับลูกค้าและเจ้าของแบรนด์สินค้า รวมทั้งมีกระบวนการเร่งให้เกิดนวัตกรรมและการพัฒนาสินค้าต้นแบบได้รวดเร็วขึ้นเป็น 3 เท่าจากที่ผ่านมา
3. เร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ (Accelerate Digital Technology) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของธุรกิจ ทั้งด้านความเร็วและประสิทธิภาพในการดำเนินงาน โดยเอสซีจีได้เสริมความแข็งแกร่งภายในองค์กรด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ดำเนินธุรกิจตลอดห่วงโซ่อุปทาน สร้าง Single Data Platform ทำให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเห็นข้อมูลชุดเดียวกันแบบ Real-time เช่น การใช้ดิจิทัลในการขั้นตอนการจัดหาวัตถุดิบ ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาดมากขึ้น การใช้ดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและป้องกันปัญหาในกระบวนการผลิต (Reliability) ใช้ Predictive Model เพื่อแจ้งเตือนความผิดปกติของเครื่องจักรล่วงหน้าก่อนเกิดความเสียหาย และการนำ AI Simulation เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ยังได้จัดทำ Digital Commerce Platform หรือ DCP เพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากคำสั่งซื้อของลูกค้าเข้ากับข้อมูลการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะคำสั่งซื้อได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถลดเวลาได้ถึง 70%”
ทั้งนี้ กลยุทธ์เชิงรุกทั้ง 3 ด้านของธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี ได้แก่ 1. เร่งการขยายเข้าสู่ธุรกิจ Circular Economy 2. เร่งการขับเคลื่อนธุรกิจ HVA และ 3. เร่งการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ นอกจากจะส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ยังตอบโจทย์ SDGs และ ESG ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ชุมชน สังคม และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันที่เอสซีจีมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง และพร้อมที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน
No comments:
Post a Comment